เพื่อประโยชน์ในการติดต่อหรือค้นหาข้อมูล กรุณาอัพเดตข้อมูลของท่านให้เป็นปัจจุบัน
สิทธิประโยชน์ที่หน่วยงานของท่านจะได้รับในการเป็นสมาชิกเว็บไซต์ดังนี้: ส่งคำถามโดยตรงไปยังซัพพลายเออร์ โพสต์คำขอของผู้ซื้อ ดูคำขอของผู้ซื้อ สามารถส่งข้อมูลให้ผู้ซื้อโดยตรง สมัครตอนนี้!
-
สาธารณรัฐคาซัคสถาน Republic of Kazakhstan
-
อยู่ในเขตเอเชียกลาง ทางตอนกลางของที่ราบ Eurasia ระหว่างรัสเซียและอุซเบกิซสถาน โดยทิศตะวันออกติดจีน ทิศตะวันตกติดทะเลสาบแคสเปียน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดคีร์กีซสถาน ทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดเติร์กเมนิสถาน
2,717,300 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 5 เท่าของไทย และมีพื้นที่มากเป็นอันดับที่ 9 ของโลก)
-
-
ทะเลทรายแบบภาคพื้นทวีปฤดูหนาว หนาวจัด (ประมาณ -18 ถึง -30 องศาเซลเซียส) ฤดูร้อน ร้อนจัดและแห้ง (ประมาณ 20 – 35 อาศาเซลเซียส)
-
-
15.8 ล้านคน (2552)
-
-
คาซัคเป็นภาษาราชการ (State Language) ที่มีคนใช้กว่าร้อยละ 64.4 ส่วนภาษารัสเซียเป็นภาษาราชการ (Official) ที่มีคนใช้กว่าร้อยละ 95
ระบบการเมืองของคาซัคสถานนั้น แม้ว่าจะเป็นระบบหลายพรรค และเปิดกว้างตามระบอบ ประชาธิปไตย แต่พรรคการเมืองทั้งหลายไม่ได้มีบทบาทสำคัญมากนัก อำนาจในการปกครองที่แท้จริงอยู่ภายใต้ประธานาธิบดี Nursultan Nazarbayev อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งคาซัคสถานตั้งแต่สมัยโซเวียต ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของคาซัคสถานตั้งแต่ปี 2534 ประธานาธิบดี Nazarbayev พยายามขยายอำนาจให้ตนเองมาโดยตลอด ในปัจจุบัน ถึงแม้ว่ามีการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเมื่อเดือนพฤษภาคม 2550 เพื่อกระจายอำนาจของประธานาธิบดี โดยเฉพาะการกำหนดให้ประธานาธิบดีสามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 วาระ วาระละ 5 ปี แต่กฎดังกล่าวไม่มีผลบังคับใช้กับประธานาธิบดีคนแรกซึ่งหมายถึงประธานาธิบดี Nazarbayev ดังนั้น ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นในปี 2555 ประธานาธิบดี Nazarbayev จะสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้อีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนั้น รัฐบาลคาซัคสถานให้ความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และปฏิรูปในด้านต่างๆ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกระบวนการเสริมสร้างประชาธิปไตย การเพิ่มบทบาทของรัฐสภา และองค์กรการปกครองท้องถิ่น โดยประธานาธิบดีได้กล่าวย้ำว่า วิธีการเสริมสร้างประชาธิปไตยในคาซัคสถานจะไม่ลอกเลียนแบบจากต่างประเทศ แต่จะเป็นวิธีการที่สะท้อนความต้องการและประโยชน์ของชาวคาซัคสถานอย่างแท้จริง ซึ่งเรื่องที่จะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก คือ การเพิ่มอำนาจของรัฐสภาที่สามารถแต่งตั้งสภารัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง และคณะกรรมการตรวจสอบภายใน อันดับที่สอง คือ การเพิ่มบทบาทของพรรคการเมือง โดยพรรคการเมืองจะได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากรัฐบาล และสุดท้าย คือการเพิ่มจำนวนผู้แทนในสภาล่าง นอกจากนั้น รัฐบาลจะยังทบทวนระบบยุติธรรมเพื่อให้มีความเป็นธรรมและโปร่งใสมากขึ้น
กรุงอัสตานา (Astana)
-
-
-
-
-
-
103.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2552)
11,027 ดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2552)
ร้อยละ – 1.8 (ปี 2552)
ร้อยละ 9.5 %
-
-
-
น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แร่ธาตุ โครเมียม เหล็ก ทองแดง ทองคำ เงิน และยูเรเนียม
-
อุตสาหกรรมด้านพลังงานเป็นหลัก โดยรายได้หลักมาจากการส่งออกน้ำมัน ซึ่งมีมูลค่ากว่าร้อยละ 60 ของการส่งออกทั้งหมด
-
-
-
-
-
น้ำมัน เหล็ก เคมี เครื่องจักร ธัญพืช ขนแกะ
-
เครื่องจักร โลหะ เครื่องบริโภค
-
-
-
ภายหลังแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต คาซัคสถานได้พยายามปฏิรูปเศรษฐกิจมา โดยตลอด โดยการเรียนรู้จากความล้มเหลวและข้อผิดพลาดของการปฏิรูปเศรษฐกิจในยุโรปตะวันออก และให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจเพื่อให้สามารถรองรับระบบเศรษฐกิจ แบบตลาดของตะวันตก จนกระทั่งได้รับการรับรองสถานะเศรษฐกิจแบบตลาดจากสหรัฐฯ ในปี 2545 และเป็นประเทศแรกที่แยกตัวจากสหภาพโซเวียตที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุน จากสถาบันระหว่างประเทศทั้ง Moody และ Standard & Poor’s (S&P)
คาซัคสถานนับว่าประสบความสำเร็จในการปฏิรูปเศรษฐกิจ นับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกว่าร้อยละ 9 ทุกปี และสามารถชำระหนี้คืน IMF ได้ล่วงหน้าถึง 7 ปี อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจคาซัคสถานยังพึ่งพาอุตสาหกรรมด้านพลังงานเป็นหลัก โดยรายได้หลักมาจากการส่งออกน้ำมัน ซึ่งมีมูลค่ากว่าร้อยละ 60 ของการส่งออกทั้งหมด นอกจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ คาซัคสถานยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ อาทิ โครเมียม เหล็ก ทองแดง ทองคำ เงิน และยูเรเนียม แต่อุตสาหกรรมเหมืองแร่ของคาซัคสถานยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร เนื่องจากขาดการลงทุน ปัจจุบัน รัฐบาลคาซัคสถานพยายามเชิญชวนให้มีการลงทุนในสาขาอื่น ๆ มากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมพลังงาน ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นร้อยละ 80 – 90 ของการลงทุนทั้งหมด ทั้งนี้ รัฐบาลคาซัคสถาน ได้วางนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจระยะยาว โดยเน้นความหลากหลายทางเศรษฐกิจ (Economic Diversification) อย่างไรก็ตาม ปัญหาฉ้อราษฎร์บังหลวง และความไม่โปร่งใสในการลงทุน ยังเป็นอุปสรรคต่อการเข้ามาลงทุนในคาซัคสถานของนักลงทุนต่างชาติ
นอกจากนั้น ในแถลงการณ์ล่าสุดของประธานาธิบดี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2550 ได้ย้ำว่า นอกจากจะดำเนินมาตรการเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจแล้ว คาซัคสถานจะปรับปรุงและยกระดับระบบสวัสดิการทางสังคม อาทิ เพิ่มเงินช่วยเหลือให้ครอบครัวที่มีบุตรคนแรก โดยจะเริ่มใน ปี 2551 เพิ่มจำนวนโรงเรียนและโรงพยาบาลอีกอย่างละ 100 แห่ง รวมทั้งให้ความคุ้มครองและหลัก ประกันทางสังคมต่อสตรีและเด็ก ซึ่งมาตรการเหล่านั้นจะช่วยเสริมสร้างรากฐานทางสังคมที่มั่นคง และทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพต่อไป รวมทั้งได้ประกาศว่าจะให้ความสนใจในการแก้ไขปัญหาด้าน สิ่งแวดล้อมของประเทศให้มากขึ้น
เมื่อ 29 มกราคม 2553 ประธานาธิบดี Nazarbayev ได้กล่าวปราศรัยต่อรัฐสภาคาซัคสถาน โดยในด้านเศรษฐกิจของคาซัคสถาน ประธานาธิบดี Nazarbayev ชี้แจงว่าแผนยุทธศาสตร์ปี 2020 จะเน้นการสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ และการมีนโยบายทางการค้าที่เหมาะสม นอกจากนั้นแล้ว แผนปฏิบัติการด้านเศรษฐกิจปี 2553-2553 จะตามมาด้วยแผนพัฒนาด้านอุตสาหกรรมและความหลากหลายทางเศรษฐกิจ
นับแต่แยกตัวจากสหภาพโซเวียตคาซัคสถานได้ดำเนินนโยบายต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างและดำรงไว้ซึ่งสภาพที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และความมั่นคงของคาซัคสถานเป็นหลัก โดยจะเห็นได้จากนโยบายที่มุ่งเน้นความเป็นกลางทางการเมืองในเวทีระหว่างประเทศ และเข้าร่วมกิจกรรมขององค์การระหว่างประเทศอย่างแข็งขัน ส่งเสริมนโยบาย Active, Multilateral and Balance foreign policy โดยให้ความสำคัญกับรัสเซีย จีน สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปเป็นหลัก ในขณะเดียวกัน ก็ให้ความสำคัญต่อประเทศอื่น ๆ ในเอเชียและประเทศในตะวันออกกลางด้วย โดยจะเห็นได้จากการที่คาซัคสถานพยายามขยายความสัมพันธ์มายังประเทศ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเข้าเป็นสมาชิก Asia Cooperation Dialogue (ACD) และการสมัครเข้าเป็นสมาชิก ASEAN Regional Forum (ARF)
สำหรับองค์กรระหว่างประเทศ คาซัคสถานมุ่งที่จะเข้าเป็นสมาชิก World Trade Organization (WTO) เป็นอันดับแรก ส่วนองค์กรอื่น ๆ ที่คาซัคสถานให้ความสำคัญ ได้แก่ Shanghai Cooperation Organization (SCO), Commonwealth of Independent States (CIS), Organisation for Security and Cooperation in Europe (OSCE), Conference on Interaction and Confidence Building Measures in Asia (CICA) และการก่อตั้ง Common Economic Space ภายในเอเชียกลาง
ทั้งนี้ ในบรรดาองค์กรระหว่างประเทศที่กล่าวมา นับได้ว่า องค์การกรอบการประชุมเพื่อการปฏิสัมพันธ์และ มาตรการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจแห่งเอเชีย (CICA) เป็นองค์กรที่สำคัญ ของคาซัคสถาน เนื่องจากเป็นองค์กรที่ประธานาธิบดี Nazarbayev เสนอต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 47 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2535 โดยที่ปัจจุบัน สำนักเลขาธิการ CICA อยู่ที่เมืองอัลมาตี คาซัคสถาน มีผู้อำนวยการบริหาร (Executive Director) คือ นาย Dulat Bakishev จากคาซัคสถาน โดยในปี 2010 ตุรกีจะรับตำแหน่งประธาน CICA ต่อจากคาซัคสถาน
นอกจากนั้นแล้ว นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2010 คาซัคสถานจะเข้ารับตำแหน่งประธานองค์การเพื่อความร่วมมือและความมั่นคงในยุโรป (OSCE) และในปีถัดไป คาซัคสถานจะดำรงตำแหน่งประธานการประชุมองค์การการประชุมอิสลาม (OIC)
ในด้านอื่นๆ คาซัคสถานยังให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องภัยคุกคามรูปแบบใหม่ อาทิ การก่อการร้าย โรคระบาด ปัญหาสิ่งแวดล้อม ยาเสพติด และความมั่นคงด้านพลังงาน (Energy Security) เป็นต้น
ไทยได้แต่งตั้งนาย Mirgali Kunayev เป็น กสม. ณ นคร อัลมาตี และมีอำนาจตรวจลงตรา ซึ่งนักท่องเที่ยวคาซัคสถานสามารถขอรับการตรวจลงตราเพื่อพำนักในไทยได้เกิน 15 วัน
ฝ่ายคาซัคสถานประสงค์ที่จะสมัครเป็นสมาชิกการประชุมว่าด้วยความมั่นคงระหว่างประเทศ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN Regional Forum - ARF) และขอรับการสนับสนุนจากประเทศไทย
ไทยได้สนับสนุนคาซัคสถานในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue - ACD) ซึ่งไทยริเริ่ม โดยในระหว่างการประชุมรัฐมนตรี ACD เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2546 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่ประชุมฯ ได้ให้การสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์ในการรับคาซัคสถานเข้าเป็นสมาชิก ACD
ความสัมพันธ์ไทย – คาซัคสถานในทางเศรษฐกิจดำเนินไปอย่างใกล้ชิด คาซัคสถานเป็น คู่ค้าอันดับที่ 3 ของไทยในกลุ่มเครือรัฐเอกราช (CIS) และมีศักยภาพมาก เนื่องจากมีจำนวนประชากร 15.3 ล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 4 รองจากรัสเซีย ยูเครนและอุซเบกิสถาน อย่างไรก็ตาม มูลค่าการค้าระหว่างไทยและคาซัคสถานยังมีไม่มากนัก เนื่องจากสินค้ามีการกระจายตัว และเพิ่งจะเริ่มมีการค้าระหว่างกันอย่างจริงจังเมื่อปี 2538
การค้าระหว่างไทยกับคาซัคสถานในปี 2551 มีมูลค่า 71.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยนำเข้าจากคาซัคสถาน 36.36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และส่งออกไปยังคาซัคสถาน 34.87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยฝ่ายไทยเสียดุลการค้า 1.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ในปี 2552 (ม.ค. – พ.ย. ) มีมูลค่าการค้ารวม 46.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยนำเข้าจากคาซัคสถาน 11.36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และส่งออกไปคาซัคสถาน 34.87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยฝ่ายไทยได้ดุลการค้า 23.51 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย ได้แก่ เครื่องซักผ้า เครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ อุปกรณ์และส่วนประกอบของเครื่องจักร ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ รถยนต์ เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ใบยาสูบ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้กระป๋อง
ส่วนสินค้าสำคัญที่นำเข้าจากคาซัคสถาน ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ
ปัจจุบันยังไม่มีการลงทุนของคาซัคสถานในประเทศไทย อนึ่ง สาขาของอุตสาหกรรมที่คาซัคสถานน่าจะมาลงทุนในไทยได้ คือ การประกอบเครื่องจักรเกษตรกรรม อุตสาหกรรมน้ำมัน อุตสาหกรรมเหล็ก
สาขาของอุตสาหกรรมที่ไทยอาจพิจารณาไปลงทุนในคาซัคสถานได้ คือ การผลิต เครื่องนุ่งห่ม อาหารแปรรูปกระป๋อง เครื่องหนังซึ่งคาซัคสถานมีการส่งออกหนังดิบจำนวนมาก รวมทั้งการผลิตเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องประดับและอัญมณี ตลอดจนการส่งเสริมให้ผู้รับเหมาก่อสร้างไปร่วมลงทุนด้านก่อสร้างกับบริษัทต่างชาติ ในประเทศคาซัคสถาน ในลักษณะรับช่วงงานในโครงการก่อสร้างต่างๆ และส่งแรงงานไทยเข้าไปทำงานด้านทักษะฝีมือในคาซัคสถาน ทั้งนี้ ปัจจุบันมีแรงงานไทยในคาซัคสถานจำนวน 400 คน เข้าไปทำงานอยู่ที่เมือง Atyrau เป็นช่างเชื่อมโลหะที่ฐานขุดเจาะน้ำมัน
แหล่งน้ำมันในคาซัคสถานเป็นแหล่งน้ำมันในสหภาพโซเวียตเดิมที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากภาคพื้นไซบีเรีย (อูเรนบูร์ก) ของรัสเซีย และมีปริมาณการขุดเจาะในเชิงพาณิชย์ เป็นอันดับ 3 รองจากแหล่งน้ำมันที่เมืองอูเรนบูร์ก และบากู (ในอาเซอร์ไบจาน)
รัฐบาลคาซัคสถานมีการดำเนินการส่งเสริมการลงทุนหลายประการ อาทิ การออกกฎหมาย ส่งเสริมการลงทุนและการดำเนินธุรกิจเสรี การลดความซ้ำซ้อนของระบบการจัดเก็บภาษีที่เรียกเก็บเดิม จาก 45 ประเภทเหลือเพียง 11 ประเภท และกำหนดภาษีธุรกิจในอัตราเดียวร้อยละ 30 และภาษีส่วนบุคคลไม่เกินร้อยละ 40 รวมทั้งออกกฎหมายที่ให้หลักประกันว่าจะไม่มีการริบทรัพย์สินและไม่ให้การเมือง เข้าแทรกแซงการลงทุนจากต่างชาติ
คาซัคสถานมีสิ่งดึงดูดใจสำหรับนักท่องเที่ยวคือ ความงดงามของธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และอารยธรรมของชาวมุสลิม คาซัคสถานจึงอาจเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจของชาวไทยในอนาคต ในขณะเดียวกัน เมื่อคำนึงถึงความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติของคาซัคสถาน ประกอบกับความตั้งใจของผู้นำประเทศที่จะสร้างความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นแล้ว คาซัคสถานมีศักยภาพที่จะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในเอเชียกลางได้ และชาวคาซัคซึ่งมีกำลังซื้อสูงขึ้นอาจเดินทางออกมาท่องเที่ยวนอกประเทศเพิ่มขึ้น รวมทั้งการเดินทางมายังประเทศไทยซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่ง ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเที่ยวบินสายการบิน Air Astana ระหว่างกรุงเทพฯ – กรุงอัลมาตี สัปดาห์ละ 4 เที่ยว (พุธ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์) ใช้เวลาเดินทาง 6.45 ชั่วโมง โดยนักท่องเที่ยวจากกลุ่มเครือรัฐเอกราชเป็นกลุ่มตลาดใหม่ที่มีการขยายตัวดีมาก และนักท่องเที่ยวคาซัคมาไทย ปี 2552 (มค.-มิ.ย.) จำนวน 11,997 คน คนไทยไปคาซัคสถาน ประมาณ 500 คน (ปี 2551)
ชาวคาซัคนิยมกีฬามวยไทยมาก โดยมีการจัดตั้งสมาคมมวยไทยแห่งคาซัคสถานโดยมีนายกรัฐมนตรีคาซัคสถานเป็นประธานสมาคม
คาซัคสถานได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Congress of Leaders of World and Traditional Religions ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 12 – 19 กันยายน 2549 โดยไทยได้ส่ง ศาสตราจารย์ ดร. พระธรรมโกศาจารย์ ผู้นำศาสนาพุทธระดับสูงของไทยเข้าร่วมการประชุม ทั้งนี้ ในการประชุมครั้งที่ 1 เมื่อปี 2546 คาซัคสถานได้กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระสังฆราชฯ เสด็จเข้าร่วมประชุมด้วย แต่พระพลานามัยไม่อำนวยให้ตอบรับคำกราบบังคมทูลเชิญข้างต้น
นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครได้สถาปนาความเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับกรุงอัสตานา โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในขณะนั้น (นายสมัคร สุนทรเวช) ได้ลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการสถาปนาดังกล่าว ในโอกาสที่ไปเยือนคาซัคสถานเมื่อเดือนมิถุนายน 2547 นอกจากนี้ คาซัคสถานยังแสดงความประสงค์ที่จะสถาปนาความเป็นบ้านพี่เมืองน้องระหว่าง เมืองพัทยาและเมืองชิมเคนต์ (Shymkent) ด้วย
อุปทูต นาย Amir Mussin
ที่ตั้ง Suite 4301, 43rd Floor, Jewelry Trade Center Building
919/501 Silom Road, Bangrak, Bangkok 10500
Tel: 0-22346365-6 Fax: 0-22346368
กองพัฒนาผู้ประกอบการไทย
เลขที่ 555 ถนนวิภาวดีรังสิต
แขวงจตุจักร เขตจตุจักร
กรุงเทพมหานคร 10900