เพื่อประโยชน์ในการติดต่อหรือค้นหาข้อมูล กรุณาอัพเดตข้อมูลของท่านให้เป็นปัจจุบัน
สิทธิประโยชน์ที่หน่วยงานของท่านจะได้รับในการเป็นสมาชิกเว็บไซต์ดังนี้: ส่งคำถามโดยตรงไปยังซัพพลายเออร์ โพสต์คำขอของผู้ซื้อ ดูคำขอของผู้ซื้อ สามารถส่งข้อมูลให้ผู้ซื้อโดยตรง สมัครตอนนี้!
น้อมรับใช้ตามแนวทางของพระเจ้าเสมอ
(Always in service with God's guidance)
เนการาบรูไนดารุสซาลาม (Negara Brunei Darussalam) หรือ บรูไน (Brunei)
-
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะบอร์เนียว ระหว่างละติจูดที่ 4 30 องศาเหนือ ลองติจูดที่ 114 40 องศาตะวันออก
5,770 ตารางกิโลเมตร (พื้นดิน 5,270 ตารางกิโลเมตร พื้นน้ำ 500 ตารางกิโลเมตร)
พรมแดนติดมาเลเซีย 381 กิโลเมตร ความยาวชายฝั่งทะเล 161 กิโลเมตร
ที่ราบชายฝั่งค่อยๆ ชันขึ้นเป็นภูเขาทางฝั่งตะวันออก ทางทิศตะวันตกเป็นภูเขาต่ำๆ
อากาศโดยทั่วไปค่อนข้างร้อนชื้น มีปริมาณฝนตกค่อนข้างมาก อุณหภูมิเฉลี่ย 28 องศาเซลเซียส
ปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ ไม้ซุง
พายุไต้ฝุ่น แผ่นดินไหว และบางครั้งจะเกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรง
415,717 คน (ค่าประมาณ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556)
1.691 % (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
บรูไน (Bruneian (s))
ภาษาราชการคือ ภาษามาเลย์ ภาษาอื่นๆ ได้แก่ อังกฤษและภาษาจีน
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Constitutional Sultanate) โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัลโบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ (His Majesty Sultan HajiHassanal Bolkiah Mu'izzaddin Waddaulah) ทรงเป็นองค์พระประมุขของประเทศตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2510
กรุงบันดาร์ เสรี เบกาวัน (Bandar Seri Begawan)
1 มกราคม 1984 จากสหราชอาณาจักร
29 กันยายน 1959 (บางบทบัญญัติถูกระงับชั่วคราวภายใต้ภาวะฉุกเฉิน (State of Emergency) ตั้งแต่เดือนธันวาคม 1962 ส่วนบทอื่นๆ ตั้งแต่ได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 1 มกราคม 1984)
สุรต่านดำรงตำแหน่งทั้งประมุขของรัฐและนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล สุรต่านและนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือ Sultan and Prime Minister Sir HASSANAL Bolkiah ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2510 (ค.ศ.1967) คณะรัฐมนตรี (Council of Cabinet Ministers) ได้รับการแต่งตั้งจากสุรต่านเพื่อทำหน้าที่เกี่ยวกับการบริหาร นอกจากนี้ยังมี Religious Council ซึ่งสุรต่านเป็นผู้แต่งตั้ง ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับศาสนา สภาองคมนตรี (Privy Council) ให้คำปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับการปกครองและรัฐธรรมนูญ และ Council of Succession เป็นสภาที่จะตัดสินว่าใครคือผู้สืบทอดตำแหน่งคนต่อไป (หากจำเป็น) ไม่มีการเลือกตั้ง ตำแหน่งสุรต่านจะสืบทอดตามกฎมณเฑียรบาล
กฏหมายจารีตประเพณีของอังกฤษ (English Common Laws) สำหรับชาวมุสลิม มีหลายกรณีที่ใช้กฏหมายอิสลาม (Islamic Shari'a Law) แทน ไม่ยอมรับเขตอำนาจโดยบังคับของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
ตำแหน่งสุรต่านได้รับการแต่งตั้งจากสภา (สมาชิก 29 คน) เมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) การเลือกตั้งครั้งล่าสุดมีขึ้นในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2505 (ค.ศ.1962) ยังไม่ได้มีการกำหนดวันเลือกตั้งครั้งต่อไป
ศาลสูงสุดคือ ศาลฎีกา (Supreme Court) หัวหน้าคณะผู้พิพากษาและผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้งจากองค์สุรต่าน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี Judicial Committee of Privy Council ในกรุงลอนดอนคือ ศาลสูงสุดสำหรับการตัดสินคดีแพ่ง (Civil Cases) ขณะที่ศาลชาเรีย (Sharia Courts) ตัดสินคดีความที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม
แบ่งเป็น 4 เขต ได้แก่ Belait, Brunei และ Muara, Temburong, Tutong
บรูไนฯ มีระบบรัฐสวัสดิการที่มีประสิทธิภาพ โดยรัฐให้หลักประกันด้านการศึกษา การเคหะและการรักษาพยาบาล และไม่มีการเก็บภาษีเงินได้ ทำให้บรูไนฯ ไม่ค่อยประสบปัญหาทางการเมือง อย่างไรก็ดี ปัญหาสังคมที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย และปัญหาการว่างงาน
วัตถุประสงค์หลักของนโยบายต่างประเทศบรูไนฯ คือการส่งเสริมผลประโยชน์แห่งชาติ อันได้แก่ การรักษาอธิปไตย อิสรภาพและบูรณภาพแห่งดินแดน การสร้างความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและสังคม และการรักษาเอกลักษณ์ทางการเมือง วัฒนธรรมและศาสนา รวมทั้งส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง ความมีเสถียรภาพและความรุ่งเรืองในระดับภูมิภาคและระดับโลก
บรูไน ฯ ใช้กลไกพหุภาคีทั้งในระดับภูมิภาคและระดับระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือหลัก ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง เสริมสร้างความมั่นคงและผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาเซียน (ซึ่งถือเป็นเสาหลักของนโยบายต่างประเทศบรูไนฯ) ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก การประชุมเอเชีย-ยุโรป กลุ่มประเทศเครือจักรภพ องค์การการประชุมอิสลาม และสหประชาชาติ ในระดับทวิภาคี บรูไนฯ พยายามเป็นมิตรกับนานาประเทศทั้งในด้านการค้าและการลงทุนเพื่อผลประโยชน์ทาง เศรษฐกิจ และยังได้ร่วมเป็นพันธมิตรทางทหารกับประเทศต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการป้องกันประเทศ
หลักการดำเนินนโยบายต่างประเทศของบรูไน ฯ ที่สำคัญ ได้แก่ การเคารพในอธิปไตย อิสรภาพ และบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศต่าง ๆ การยอมรับในสถานภาพที่เท่าเทียมกันของประเทศต่าง ๆ การไม่แทรกแซงในกิจการภายในซึ่งกันและกัน การแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธีและความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ ร่วมกัน
การที่ประมุขของประเทศซึ่งเป็นผู้นำรัฐบาลเสด็จ ฯ เยือนประเทศต่าง ๆ ด้วยพระองค์เองเพื่อสร้างบทบาทของบรูไน ฯ ในเวทีระหว่างประเทศ ทำให้บรูไน ฯ ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศทั้งในและนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในปี 2547 และ 2548 สมเด็จพระราชาธิบดีเสด็จ ฯ เยือนต่างประเทศบ่อยครั้ง เพื่อกระชับ ความสัมพันธ์อันดีกับต่างประเทศ และเพื่อแสวงหาโอกาสทางธุรกิจในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบรูไน ฯ มีนโยบายต่างประเทศที่ต้องการเป็นมิตรกับทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ (ได้แก่ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น) ประเทศในตะวันออกกลาง รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดในอาเซียน นอกจากนี้ บรูไนฯ ได้เสริมบทบาทของตนในภูมิภาคมากขึ้นโดยได้ส่งกองกำลังเข้าสังเกตการณ์การ หยุดยิงระหว่างรัฐบาลฟิลิปปินส์และแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (Moro Islamic Liberation Front- MILF) ในมินดาเนา และบรูไนฯ ยังได้ร่วมใน peace-monitoring mission ในจังหวัดอาเจะห์ด้วย
ในปี 2548 บรูไน ฯ มุ่งเน้นการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศที่นำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (เช่น จีน) ให้มากขึ้น โดยรัฐบาลบรูไน ฯ คาดว่าจีนจะยังคงมีความต้องการพลังงานมากขึ้น รวมทั้งบรูไน ฯ จะเป็นทางเลือกที่จีนจะร่วมเป็นพันธมิตรในการสำรวจและพัฒนาแหล่งทรัพยากร ธรรมชาติกับบรูไน ฯ นอกเหนือจากมาเลเซีย ขณะที่สิงคโปร์เล็งเห็นว่าบรูไน ฯ เป็นประเทศที่น่าสนใจที่จะเป็นทางเลือกในการหาแหล่งพลังงานสำรองในอนาคต เพิ่มเติมจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย ในปัจจุบัน
บรูไนฯ สนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศแบบพหุภาคีนิยม(Multilateralism) โดยเฉพาะในการดำเนินการของประชาคมระหว่างประเทศภายใต้ "Millennium Goals" และมองว่าปัญหาที่ประเทศต่าง ๆ กำลังเผชิญอยู่ในโลกปัจจุบันมีความหลากหลายมากขึ้นและส่งผลกระทบในวงกว้าง ปัญหาที่เกิดในประเทศหนึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศอื่น ๆ ด้วย ฉะนั้นการแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคง ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของสังคมระหว่างประเทศนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกประเทศ
21.94 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
50,500 ดอลลาร์สหรัฐ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
6.5% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
1.2 % (ค่าประมาณพ.ศ. 2555)
2.7 % (ค่าประมาณ พ.ศ. 2553)
-
ข้าว ผัก ผลไม้ ไก่ ควาย ปศุสัตว์ แพะ ไข่ไก่
ปิโตรเลียม การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม การทำก๊าซธรรมชาติให้เป็นของเหลว (Liquefied Natural Gas) การก่อสร้าง
-5.4% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2551)
-
-
3.977 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2552)
10.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ f.o.b (ค่าประมาณ พ.ศ. 2551)
น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมัน เสื่อผ้า
2.61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2551)
เครื่องจักรและเครื่องมือเครื่งใช้ในการขนส่ง สินค้าโรงงาน อาหาร เคมภัณฑ์
ดอลลาร์บรูไน (Bruneian Dollar)
BND
1. บรูไน ฯ มีน้ำมันมากเป็นอันดับสามในภูมิภาคอาเซียน รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย จึงมีรายได้หลักจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รายได้จากการส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซมีมูลค่ากว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด โดยส่งออกไปยังญี่ปุ่น อังกฤษ ไทย สิงคโปร์ ไต้หวัน สหรัฐฯ ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ การที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้นในรอบปี 2547 และ 2548 ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ ทั้งนี้ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2544 รัฐบาลได้จัดตั้งบริษัทปิโตรเลียมแห่งชาติ (Petroleum Brunei) เพื่อเป็นหน่วยงานกำหนดนโยบายน้ำมันและก๊าซ ในขณะเดียวกัน บรูไนฯ นำเข้าสินค้าส่วนใหญ่จากสิงคโปร์ อังกฤษ สหรัฐฯ มาเลเซีย โดยเป็นสินค้าประเภทเครื่องจักรอุตสาหกรรม รถยนต์ เครื่องมือ เครื่องใช้ไฟฟ้า ต่าง ๆ และสินค้าเกษตร อาทิ ข้าวและผลไม้
2. บรูไน ฯ มีอุตสาหกรรมอื่นนอกเหนือจากอุตสาหกรรมน้ำมันอยู่บ้าง อาทิ การผลิตอาหาร และเครื่องมือ การผลิตเสื้อผ้า เพื่อส่งออกไปยังกลุ่มประเทศในยุโรปและอเมริกา ทั้งนี้ รัฐบาลบรูไนฯ มุ่งที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมด้านการแปรรูปอาหารและผลิตเครื่องดื่ม เสื้อผ้า และสิ่งทอ เครื่องเรือนจากไม้ วัสดุก่อสร้างที่ไม่ใช่โลหะ การผลิตแก้วเพื่อใช้ทำกระจกรถยนต์ อย่างไรก็ดี การพัฒนาเป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากมีอุปสรรคต่าง ๆ อาทิ การขาดช่างฝีมือ ตลาดเล็ก ความไม่กระตือรือร้นของข้าราชการ การห้ามชาวต่างชาติเป็นเจ้าของที่ดิน รวมทั้งกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้ต่างชาติไม่นิยมมาลงทุน
3. สำหรับภาคอุตสาหกรรมที่บรูไน ฯ ได้พัฒนาอย่างจริงจังในปี 2548 คืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเน้นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ซึ่งรัฐบาลได้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวประจำปี 2548 ไว้แล้วจำนวน 1.6 ล้านดอลลาร์บรูไนฯ หลังจากที่ผลประกอบการด้านการท่องเที่ยวในปี 2547 มีการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ มีนักท่องเที่ยวเยือนบรูไน ฯ มากกว่า 100,000 คน โดยรัฐบาลบรูไน ฯ จะเน้นการเป็นประเทศที่มีความสงบและปลอดภัยเป็นจุดขาย
4. บรูไน ฯ กำลังพยายามเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจที่พึ่งพาน้ำมันเป็นหลักไปสู่โครงสร้าง เศรษฐกิจที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยรัฐบาลได้ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมมีบทบาทมากขึ้น รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนกับต่างประเทศและมีมาตรการเปิดเสรีด้านการค้าและ สร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน ไม่เฉพาะแต่บริษัทในประเทศ แต่รวมถึงประเทศต่าง ๆ จากกลุ่มอาเซียนและนานาประเทศด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลบรูไน ฯ มีนโยบายพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางทางการค้าและท่องเที่ยว (Service Hub for Trade and Tourism - SHuTT 2003 Vision) และเป็นตลาดการขนถ่ายสินค้า ที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นเป้าหมายประการหนึ่งของ โครงการความร่วมมือของกลุ่ม Brunei-Indonesia- Malaysia-Philippines-East ASEAN Growth Area (BIMP-EAGA)
ปี 2551 การค้าไทย-บรูไนมีมูลค่า 211.14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ร้อยละ 3.28
ปี 2551 ไทยส่งออกไปบรูไนมูลค่า 123.72 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ร้อยละ 32.52
ปี 2551 ไทยนำเข้าจากบรูไนมูลค่า 87.42 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปี 2550 ร้อยละ 21.29
ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ากับบรูไน ในปี 2551 ไทยได้ดุลการค้ามูลค่า 36.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ไทยกับกัมพูชามีความคล้ายคลึงกันทางด้านศิลปวัฒนธรรมอย่างมาก จึงเป็นเรื่องง่ายที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายจะใช้ความร่วมมือด้านวัฒนธรรมเป็นสื่อกลางในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีระหว่างกัน ดังเช่นความพยายามที่จะประสานรอยร้าวของความสัมพันธ์ภายหลังเหตุการณ์ความไม่สงบในกรุงพนมเปญเมื่อปี 2546 ด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมไทย - กัมพูชา เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและใช้เป็นกลไกในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยสองฝ่ายได้จัดประชุมร่วมกันแล้วหลายครั้งเพื่อกำหนดทิศทางความร่วมมือและแผนปฏิบัติการประจำปีสำหรับใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานร่วมกัน นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และการท่องเที่ยว เพื่อผลักดันความร่วมมือในแต่ละสาขาด้วย
รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ข้าว เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป น้ำตาลทราย ปูนซิเมนต์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์เซรามิก เครื่องจักรกล และ ส่วนประกอบเครื่องจักรกล และเครื่องคอมพิวเตอร์
น้ำมันดิบ สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ธุรกรรมพิเศษ สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรกล และส่วนประกอบ วัสดุทำจากยาง และสิ่งพิมพ์
เอกชนของไทยได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจกับบรูไนฯ 3 ฉบับเมื่อวันที่ 27สิงหาคม 2545 ระหว่างการเสด็จ ฯ เยือนไทยอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชาธิบดีในฐานะพระราชอาคันตุกะของพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้แก่
เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2546 Brunei Investment Agency (BIA) และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ได้ร่วมลงนามในสัญญาจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน (Matching Fund) ในชื่อกองทุนไทยทวีทุน (Thailand Prosperity Fund - TPF) โดยมีวงเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสามารถเพิ่มวงเงินได้ไม่เกิน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ กบข. ลงทุนประมาณ 66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ 33 ของวงเงินทั้งหมด และ BIA ลงทุนประมาณ 134 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ 67 ของวงเงินทั้งหมด
กองทุนไทยทวีทุนมีระยะเวลาลงทุน 8 ปี และต่ออายุได้อีก 2 ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการลงทุนทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเสนอขายแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) รวมทั้งมีบริษัทหลักทรัพย์ที่มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทเอกชนและรัฐวิสาหกิจที่กำลังจะแปรรูป ทั้งนี้ กองทุนไทยทวีทุนได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ING (ประเทศไทย) จำกัดเป็นผู้จัดการกองทุน
นอกจากนั้น BIA และ กบข. ยังได้ร่วมลงทุน (joint venture) จัดตั้งบริษัท Thai Prosperity Advisory จำกัด (TPA) เพื่อเป็นบริษัทที่ปรึกษาทางเทคนิคให้กับกองทุนไทยทวีทุน โดย กบข. และ BIA มีสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 59 และ 41 ตามลำดับ
สืบเนื่องจากการหารือทวิภาคีระหว่างสมเด็จพระราชาธิบดีและนายกรัฐมนตรี ระหว่างการเสด็จฯ เยือนไทยของสมเด็จพระราชาธิบดีเมื่อวันที่ 26 - 28 สิงหาคม 2545 ธนาคารอิสลามแห่งบรูไนฯ ได้ตกลงร่วมลงทุนในธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยตามข้อเสนอของไทย โดยถือหุ้นร้อยละ 15 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด (คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 104.53 ล้านบาท) และกองทุนไทยทวีทุนถือหุ้นอีกร้อยละ 15
บริษัทไทยที่ลงทุนในบรูไนฯ คือบริษัท Brunei Construction ซึ่งเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ไม่มีบริษัทที่เป็นของคนไทยล้วน ๆ ในบรูไนฯ การทำกิจการต่าง ๆ จะต้องมีคนบรูไนฯ เป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วย นอกจากนี้ ธุรกิจของคนไทยในบรูไนฯ จะเป็นร้านขายของ ร้านอาหาร และอู่ซ่อมรถ เป็นต้น
ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับ บรูไน ฯ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2526 ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและดำเนินด้วยดีมาโดยตลอด มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับราชวงศ์และผู้นำระดับสูงอยู่เสมอ ทั้งสองฝ่ายมีทัศนคติที่ดีต่อกัน ไม่เคยมีความบาดหมางทางประวัติศาสตร์และมักเป็นพันธมิตรในเรื่องต่าง ๆ ทั้งในกรอบอาเซียนและกรอบสหประชาชาติ
ปัจจุบันมีคนไทยในบรูไน ฯ ประมาณ 9,500 คน โดยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพคนงานก่อสร้าง ลูกจ้างร้านขายปลีก ลูกจ้างอู่ซ่อมรถ ลูกจ้างในร้านอาหาร และค้าขาย
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับบรูไนฯ มีความใกล้ชิดและดำเนินด้วยดีมาโดยตลอด มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับราชวงศ์และผู้นำระดับสูงอยู่เสมอ ทั้งสองฝ่ายมีทัศนคติที่ดีต่อกัน ไม่เคยมีความบาดหมางทางประวัติศาสตร์และมักเป็นพันธมิตรในเรื่องต่าง ๆ ทั้งในกรอบอาเซียนและกรอบสหประชาชาติ
ล่าสุดสมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จ พระราชินีได้เสด็จมาร่วมพิธีเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างวันที่ 11-14 มิถุนายน 2549 และนายกรัฐมนตรีเยือนบรูไนฯ อย่างเป็นทางการหลังจากเข้ารับตำแหน่งตามธรรมเนียมปฏิบัติของผู้นำอาเซียน เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2549 และ นรม. เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีครั้งล่าสุดในการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 12 ที่เมืองเซบู เมื่อ 13-15 มกราคม 2550
ไทยและบรูไนได้จัดตั้งกลไกความร่วม มือทวิภาคีระหว่างกัน คือ คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-บรูไน ซึ่งมีการประชุมครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 30 - 31 มีนาคม 2546 ที่กรุงเทพฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่าง ประเทศบรูไน ฯ เป็นประธานการประชุมร่วม ซึ่งได้มีการหารือเกี่ยวกับการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่าง ทั้งสองประเทศในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การทหาร การค้า การลงทุน (รวมทั้งการประมง อุตสาหกรรม ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย) แรงงาน ความร่วมมือด้านวิชาการ การท่องเที่ยว และ การสื่อสารและวัฒนธรรม ผลการประชุมแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง สองประเทศให้มีความคืบหน้า นอกจากนี้ ไทยยังประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวให้บรูไนฯ ให้ความสำคัญกับการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลและร่วมมือกันจัดตั้งธนาคาร อิสลามแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2546 ในระหว่างการเยือนบรูไนฯ นายกรัฐมนตรีได้เข้าเฝ้า ฯ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน ฯ และกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม General Meeting ครั้งที่ 15 ของสภาความร่วมมือทางเศรษฐกิจแปซิฟิก (Pacific Economic Cooperation Council - PECC) ได้มีการหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งมหาวิทยาลัยอิสลามในไทย ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว การลงทุน โดยเฉพาะการจัดตั้งกองทุน ร่วมลงทุน (Matching Fund) "กองทุนไทยทวีทุน" (ระหว่าง Brunei Investment Agency กับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ) ความร่วมมือระหว่าง Royal Brunei Airlines กับบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และความร่วมมือเอเชีย (ACD) รวมทั้งเรื่องธนาคารอิสลามแห่งบรูไน ฯ กับกองทุนไทยทวีทุนที่ได้ตกลงร่วมลงทุนในธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ ไทยและบรูไน ฯ มีทัศนะทางด้านการทหารและความมั่นคงที่สอดคล้องกัน และมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำระดับสูงของกองทัพของทั้งสองประเทศ
สำหรับท่าทีของฝ่ายบรูไนฯ ต่อสถานการณ์การเมืองของไทยนั้น เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2549 เอกอัครราชทูต ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน ได้เข้าพบปลัดกระทรวงฝ่ายการเมือง กระทรวงการต่างประเทศและการค้าของบรูไนฯ เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย โดยปลัดกระทรวงฯ กล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องภายในของประเทศไทย และไทยมีสิทธิกำหนดอนาคตของตนเอง บรูไนฯ มีนโยบายไม่แทรกแซงและเคารพอำนาจอธิปไตย เอกราช และความมั่นคงของรัฐ และยินดีที่ได้ทราบว่าไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรง อีกทั้งประชาชนสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ นอกจากนั้น ยังได้กล่าย้ำว่า บรูไนฯ มีความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าไทยจะสามารถบริหารจัดการให้ทุกอย่างดำเนินไป ด้วยดี หลังจากนั้น ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2549 พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเยือนบรูไน ฯ อย่างเป็นทางการ
เมื่อปี 2548 มีนักท่องเที่ยวจากบรูไน ฯ เดินทางมาไทยจำนวน 9,499 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2547 (9,345 คน) ร้อยละ 1.65 ทั้งนี้ แม้ว่านักท่องเที่ยวบรูไน ฯ จะเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยจำนวนไม่มากนัก แต่ก็เป็นนักท่องเที่ยวที่มีการใช้จ่ายสูงและมีศักยภาพที่จะเพิ่มจำนวนอีก ได้ ในส่วนของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางไปบรูไน ฯ นั้น เมื่อปี 2548 มีจำนวนทั้งสิ้น 9,645 คน ลดลงจากปี 2547 (11,331 คน) ร้อยละ 14.88 โดยมีส่วนแบ่งตลาดคิดเป็นร้อยละ 0.32
ปัจจุบันมีแรงงานไทยในบรูไน ฯ ประมาณ 9,500 คน ส่งรายได้กลับประเทศไทยประมาณปีละ 91,200,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นแรงงานไร้ฝีมือ ทำงานในกิจการก่อสร้าง อุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพื่อการส่งออก นอกนั้น ทำงานในภาคธุรกิจบริการ เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร การตกแต่งดูแลดอกไม้ประดับในวังและสถานที่สำคัญ ช่างซ่อม และงานในภาคเกษตรกรรม แรงงานไทยส่วนใหญ่ได้รับการยอมรับอย่างดีจากนักธุรกิจในบรูไน ฯ เพราะมีความซื่อสัตย์ อดทน ขยัน หมั่นเพียร และมีความรับผิดชอบแม้จะด้อยในเรื่องภาษา อย่างไรก็ดี ก็ยังมีปัญหาอยู่บ้าง โดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง อาทิ อัตราค่าจ้างที่ไม่สอดคล้องกับความสามารถในการทำงาน และการขาดความรู้และความเข้าใจต่อกฎระเบียบ ข้อบังคับของสัญญาจ้าง
ที่ประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วย ความร่วมมือทวิภาคีระหว่างประเทศไทยกับบรูไน ฯ ครั้งที่ 1 ที่กรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ 30 - 31 มีนาคม 2546 เห็นพ้องในการขยายความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรม นอกจากนี้ ในโอกาสฉลองการครบรอบ 20 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-บรูไน ฯ สถานเอกอัครราชทูต ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน ได้ร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรมและการกีฬาบรูไน ฯ จัดกิจกรรม Thailand Festival 2003 โดยมีการแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม นำคณะนาฏศิลป์และนักดนตรีไปแสดงวัฒนธรรมที่บรูไน ฯ เมื่อวันที่ 23 - 26 พฤษภาคม 2546
ปัจจุบันมีนักศึกษาไทยที่มาเรียนใน มหาวิทยาลัยบรูไนดารุสซาลาม ทั้งโดยทุนรัฐบาลไทยและบรูไนฯ ประมาณ 50 คน มีนักศึกษามุสลิมที่มาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้รับทุนจากทางการบรูไนฯ ให้มาเรียนทางด้านรัฐศาสตร์และการศาสนาประมาณ 20 คน ซึ่งมีทั้งหญิงและชาย แต่ก็มีนักศึกษาหลายคนที่บริษัทเอกชนในประเทศไทย อาทิ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยส่งไปเรียนวิชาทั่วไป ซึ่งในปี 2549 ไทยได้ให้ทุนการศึกษาแก่บรูไนฯ 1 ทุน ได้แก่ Thai Language Learning among ASEAN Diplomats และรัฐบาลบรูไนฯ ได้ตกลงจัดสรรทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนจากประเทศพันธมิตรอาเซียน ประเทศละ 2 ทุน รวม 18 ทุน
ในระหว่างการเยือนบรูไน ฯ อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2544 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยและบรูไนฯ ได้ร่วมลงนามใน บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีด้านสารสนเทศและการกระจายเสียง และภาพระหว่าง ไทย-บรูไน ฯ (Memorandum of Understanding between the Government of His Majesty the Sultan and Yang Di-Pertuan of Brunei Darussalam and the Government of the Kingdom of Thailand on Cooperation in the Field of Information and Broadcasting) เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือ ด้านข้อมูลข่าวสารและประชาสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนรายการวิทยุ โทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีสาระ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารอันจะส่งผลให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่าง ประชาชนของทั้งสองประเทศ ปัจจุบัน ได้มีการดำเนินโครงการภายใต้บันทึกความเข้าใจดังกล่าวแล้ว โดยมีการจัดประชุมคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-บรูไน ฯ (Joint Technical Committee on Information and Broadcasting ) มาแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 19 - 23 มิถุนายน 2547 ณ จังหวัดเชียงราย นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศได้จัดกิจกรรมร่วมด้านวัฒนธรรมเป็นระยะ ๆ ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2548 ได้มีการจัดงานแสดงดนตรีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างสถานีวิทยุกระจายเสียง แห่งประเทศไทยและ สถานีวิทยุบรูไน ฯ ครั้งที่ 3 ณ กาดเธียเตอร์ โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่
กองพัฒนาผู้ประกอบการไทย
เลขที่ 555 ถนนวิภาวดีรังสิต
แขวงจตุจักร เขตจตุจักร
กรุงเทพมหานคร 10900