For your benefit, please make sure to update your information up to current.
Your workplace will receive the following benefits: can send direct question to the Supplier, can create buyer form, can view buyer form, and can transfer information to the buyer directly. Register now!
-
สาธารณรัฐกาบอง หรือ Gabonese Republic
-
ตั้งอยู่ในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติกที่เส้นอิเควเตอร์ ระหว่างประเทศสาธารณรัฐคองโกและประเทศอิควอเรียลกินี
267,667 ตารางกิโลเมตร พื้นดิน 257, 667 ตารางกิโลเมตร พื้นน้ำ 10,000 ตารางกิโลเมตร
พรมแดนยาวทั้งสิ้น 2,551 กิโลเมตร ทิศเหนือติดกับอิเควทอเรียลกินี (350 กิโลเมตร) และแคเมอรูน (298 กิโลเมตร) ทิศตะวันออกและ ทิศใต้ติดกับสาธารณรัฐคองโก (1,903 กิโลเมตร) ทิศตะวันตกติดมหาสมุทรแอตแลนติก ความยาวชายฝั่ง 885 กิโลเมตร
บริเวณชายฝั่งเป็นมีลักษณะเป็นที่ราบแคบๆ ภายในประเทศมีลักษณะเป็นภูเขา ทางทิศตะวันออกและทิศใต้มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าสะวันนา
อากาศร้อนชื้นแถบเส้นศูนย์สูตร อุณหภูมิสูงและฝนตกชุก มีฤดูแล้งยาวนานตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนกันยายน หลังจากนั้นเป็นฤดูฝนช่วงสั้น ๆ และจะเป็นฤดูแล้งอีกครั้งตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ และเป็นฤดูฝนอีกครั้งฝนตกโดยเฉลี่ยประมาณ 2,510 มิลลิเมตรต่อปี
ปิโตรเลียม แก๊สธรรมชาติ เพชร ไนโอเบียม (niobium) แมงกานีส ยูเรเนียมทองคำ ไม้ แร่เหล็ก และพลังงานน้ำ
ภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ บางครั้งภูเขาไฟเหล่านี้ก่อให้เกิดก๊าซพิษ เช่นก๊าซพิษจากภูเขาไฟ Lake Nyos และ Lake Monoun
1,640,286 คน (ค่าประมาณการ เดือนกรกฏคมคม พ.ศ. 2556)
1.96% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2556)
Gabonese
เผ่า Bantu เผ่าต่าง ๆ ที่สำคัญ 4 เผ่า คือ Fang Eshira Bapounou และ Bateke นอกจากนี้ มีชาวอัฟริกันอื่น ๆ และชาว ยุโรปประมาณ 154,000 คน ซึ่งรวมทั้งชาวฝรั่งเศส 10,700 คน และมีผู้ถือสองสัญชาติ 11,000 คน
ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ และมีภาษาถิ่นอื่น ๆ ที่สำคัญ คือ Fang Myene Bateke Bapounou Eshira และ Bandjabi
ระบอบสาธารณรัฐ (Republic) โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข (Multiparty Presidential Regime)
กรุงลีเบรอวิล (Libreville) เมืองสำคัญอื่นๆ ได้แก่ เมือง Port-Gentil ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมปิโตรเลียม เมือง Franceville และเมือง Moande ซึ่งเป็นศูนย์กลางการทำ เหมืองแร่
17 สิงหาคม พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) จากฝรั่งเศส
เริ่มใช้รัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991)
มีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐและเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
ประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 7 ปี นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรีโดยได้รับคำแนะนำจากประธานาธิบดี
มีรากฐานมาจากกฎหมายแพ่งฝรั่งเศสและกฎหมายจารีตประเพณี อำนาจสูงสุดอยู่ที่ Constitutional Chamber of the Supreme Court
ระบบสองสภา (bicameral) โดยวุฒิสภา มำจำนวนที่นั่ง 91 ที่นั่ง มีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี (ตั้งขึ้นในปี 2538) เลือกจากสมาชิกสภาท้องถิ่น สมาชิกสภานิติบัญญัติ จำนวน 120 ที่นั่ง ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี
ศาลฎีกา
9 เขต ได้แก่ Estuaire, Haut-Ogooue, Moyen-Ogooue, Ngounie, Nyanga, Ogooue-Ivindo, Ogooue-Lolo, Ogooue-Maritime, Woleu-Ntem
กาบองมีระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ และเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองมากที่สุดประเทศหนึ่งในแอฟริกาตะวันตก มีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ โดยมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้นำรัฐบาลและเป็นผู้แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีโดยการหารือกับประธานาธิบดี ในปี 2533 กาบองเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญให้มีระบบการเมืองหลายพรรค รัฐสภาของกาบองเป็นระบบสภาคู่ โดยสภาผู้แทนจำนวน 120 ที่นั่งมาจากการเลือกตั้งทั่วไป และอยู่ในตำแหน่งวาระละ 5 ปี ในส่วนของวุฒิสภาจำนวน 91 ที่นั่ง (ตั้งขึ้นในปี 2538) เลือกจากสมาชิกสภาท้องถิ่น และอยู่ในตำแหน่งวาระละ 5 ปี
เดิมดินแดนกาบองเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธ์แอฟริกาตะวันตกของฝรั่งเศส ในปี 2501 กาบองได้รับสิทธิในการปกครองตนเอง และได้ประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2504 โดยมีนาย Leon M\'ba เป็นประธานาธิบดีคนแรก ในปี 2507 ได้เกิดการรัฐประหารขึ้น แต่ด้วยความช่วยเหลือของฝรั่งเศส นาย Leon M\'ba ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีตามเดิมจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 2510
นาย Albert-Bernard Bongo (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Omar Bongo Ondimba) รองประธานาธิบดี ได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศสให้เข้ารับตำแหน่งแทน และจัดตั้งระบบการปกครองแบบพรรคการเมืองเดียว โดยมีพรรค Parti democratique gabonais (PDG) เป็นพรรครัฐบาล โดยประธานาธิบดี Bongo ได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งซ้ำในปี 2516 ปี 2522 และปี 2529 โดยไม่มีคู่แข่ง
ในปี 2533 ภายใต้แรงกดดันจากกลุ่มต่างๆ ภายในประเทศ รัฐบาลกาบองได้จัดให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยเปลี่ยนแปลงเป็นระบบการเมืองแบบหลายพรรค อย่างไรก็ตาม พรรค PDG ของประธานาธิบดี ยังคงได้รับเสียงข้างมากในสภาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งมีขึ้นในปี 2536 นาย Bongo ยังคงได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และได้รับเลือกตั้งซ้ำในปี 2541
ในปี 2540 ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเพิ่มระยะเวลาให้ประธานาธิบดีอยู่ในตำแหน่งจากเดิมวาระละ 5 ปี เป็นวาระละ 7 ปี และมีการแต่งตั้งตำแหน่งรองประธานาธิบดีขึ้นมาอีกครั้ง และในปี 2546 ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้งโดยยกเลิกการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี ซึ่งทำให้นาย Bongo มีสิทธิ์ในการลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อปี 2548 และชนะการเลือกตั้ง โดยนับเป็นการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 6 และถือเป็นประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในแอฟริกา
อนึ่ง การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปจะมีขึ้นในปี 2555 ซึ่งนาย Bongo จะมีอายุ 77 ปี ซึ่งขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่านาย Bongo จะดำรงตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะเสียชีวิต หรือว่าจะแต่งตั้งทายาททางการเมืองสืบอำนาจแทน ทั้งนี้ โดยเฉพาะนาย Ali Bongo บุตรชายซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลปัจจุบัน
ปัจจุบัน นาย Bongo เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย ที่คลิกนิกแห่งหนึ่งในเมืองบาเซโลนา ประเทศสเปน ในวัย 73 ปี โดยทางการกาบองได้ประกาศไว้อาลัยแก่การเสียชีวิตของนาย Bongo เป็นเวลา 30 วัน และกำหนดให้ประธานวุฒิสภานาง Rose Francine Rogombe ดำรงตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดีและจัดการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 45 วัน ในชั้นนี้ สถานการณ์ในกรุงลิเบรวิลล์ยังอยู่ในความสงบไม่เกิดเหตุวุ่นวายตามที่มีการ คาดไว้แต่อย่างใด
ในอดีตกาบองดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยเอนเอียงไปทางฝ่ายตะวันตก โดยเฉพาะกับฝรั่งเศส โดยมีความร่วมมือทางด้านการทหารและเศรษฐกิจ ในด้านการทหาร ฝรั่งเศสได้ส่งเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคมาให้การฝึกอบรมการใช้อาวุธสมัยใหม่ มีการจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดทหารซึ่งสอนโดยทหารฝรั่งเศส ปัจจุบันยังมีกองกำลังทหารฝรั่งเศสประมาณ 3-4 พันคนประจำการอยู่เพื่อดูแลผลประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจ กาบองกับฝรั่งเศสได้มีข้อตกลงทางด้านการค้า การลงทุน การบินและอุตสาหกรรม อาทิ
ในปี 2548 ฝรั่งเศสได้สัมปทานสร้างทางรถไฟสาย "Trans-Gabon" ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกาบองอีกด้วย
อย่างไรก็ดี กาบองได้พยายามลดการพึ่งพิงฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมเดิม และขยายความสัมพันธ์กับมิตรประเทศอื่น ๆ อาทิ จีน บราซิล แอฟริกาใต้ และอินเดีย เพื่อขอรับการช่วยเหลือด้านการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมน้ำมันและที่มิใช่น้ำมัน (oil and non-oil sectors) ของประเทศ ปัจจุบัน กาบองดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
ความสัมพันธ์ระหว่างกาบองกับจีนมีความแน่นแฟ้นมากขึ้นโดยลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2547 ซึ่งได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในลักษณะ State Visit โดยผู้นำของประเทศทั้งสอง ในการเยือนกาบองของประธานาธิบดีหูจินเท่าของจีน ได้มีการลงนามความตกลงระหว่าง China Petroleum and Chemical Corporation Refinery กับ Gabon and France\'s Total Gabon ซึ่งจะรับประกันการส่งน้ำมันกาบองไปยังประเทศจีนอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ มีรายงานว่า จีนกำลังก่อสร้างตึกรัฐสภาแห่งใหม่ ศูนย์มัลติมีเดีย และท่าเรือในกาบองอีกด้วย การเยือนดังกล่าวสะท้อนถึงความสำคัญของจีนในฐานะหุ้นส่วนทางการค้าและการพัฒนาของกาบอง
ความสัมพันธ์ระหว่างกาบองกับสหรัฐฯ มีความใกล้ชิดยิ่งขึ้น ภายหลังจากที่ประธานาธิบดีกาบองเดินทางเยือนสหรัฐฯ ในลักษณะ State Visit เมื่อเดือนพฤษภาคม 2547 และผู้บังคับบัญชาการทหารระดับสูงของสหรัฐฯ เยือนกาบองในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน เพื่อหารือประเด็นความมั่นคง น้ำมัน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของกาบองในฐานะประเทศยุทธศาสตร์ในแอฟริกาตะวันตกของสหรัฐฯ
กาบองเป็นประเทศที่มีบทบาทในองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ อาทิ สหประชาชาติ (UN) สหภาพแอฟริกา (AU) กลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (NAM) องค์การการประชุมอิสลาม (OIC) และประชาคมเศรษฐกิจแอฟริกา (ECA) เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2549 กาบองได้ร่วมกับองค์กรอาหารและยาแห่งสหประชาชาติ (FAO) องค์การอนามัยโลก (WHO) โครงการเพื่อการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) จัดการประชุมระดับอนุภูมิภาคเกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกในทวีปแอฟริกาตะวันตกขึ้นที่กรุงลีเบรอวิล ประเทศกาบอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประสานความพยายามในการหยุดการแพร่ระบาดและหามาตรการป้องกันเชื้อไข้หวัดนกในแอฟริกาตะวันตก
กาบองมีข้อพิพาททางดินแดนกับอิเควทอเรียลกินี โดยทั้งสองฝ่ายต่างอ้างกรรมสิทธิ์เหนือเกาะ 3 เกาะ คือ Mbanie Cocotier และ Conga ซึ่งเชื่อกันว่ามีน้ำมันอยู่มาก เมื่อ 28 กุมภาพันธ์ ปี 2549 ประธานาธิบดีกาบอง และประธานาธิบดีอิเควทอเรียลกินี ได้ตกลงที่จะจัดทำความตกลงเพื่อยุติข้อขัดแย้งการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือเกาะดังกล่าว โดยมีนาย Kofi Annan เลขาธิการสหประชาชาติเป็นผู้ไกล่เกลี่ย อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศยังไม่สิ้นสุด แม้กาบองจะเสนอให้มีการแบ่งสรรการใช้ทรัพยากรจากเกาะดังกล่าวล่าสุด มีแนวโน้มว่าอาจมีการนำกรณีนี้ขึ้นสู่ศาลโลกเพื่อพิจารณาตัดสินต่อไป
-
26.71 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
17,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
6.1% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
2.7% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
21% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2549)
23% ของ GDP (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
โกโก้ กาแฟ น้ำตาล น้ำมันปาล์ม ยางพารา โคกระบือ ไม้เนื้ออ่อน (Okoume) และปลา
การสกัดปิโตรเลียม เหมืองแร่แมงกานีส ทอง เคมีภัณฑ์ การซ่อมเรือ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สิ่งทอ ซีเมนต์ ไม้ซุงและไม่อัด
4.8% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2553)
-
-
3.747 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
10.82 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ f.o.b (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
น้ำมันดิบ (70%) ไม้ แมงกานีส และยูเรเนียม
3.496 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ f.o.b (ค่าประมาณ พ.ศ. 2555)
เครื่องมือและเครื่องจักร อาหาร เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ ปิโตรเลียมและวัสดุก่อสร้าง
เงินฟรังก์เซฟา (Communaute Financiere Africaine Franc)
XAF
กาบองเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยเนื่องมาจากน้ำมัน โดยเป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับที่ 27 ของโลก ในปี 2546 กาบองมีรายได้ต่อหัวสูงถึง 6, 397 ดอลลาร์สหรัฐฯ เศรษฐกิจของกาบองพึ่งพาการส่งออกน้ำมันปิโตรเลียมเป็นสินค้าหลัก โดยร้อยละ 81 ของรายได้ประชาชาติมาจากการส่งออกน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจกาบองโดย เฉพาะระหว่างวิกฤตน้ำมันในช่วงปี 2523 และในปี 2541 อนึ่ง กาบองได้ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกองค์การประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก (OPEC) ในปี 2538 เนื่องจากต้องการผลิตน้ำมันเกินโควต้าที่ OPEC กำหนด ปัจจุบันสภาวะเศรษฐกิจของกาบองดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกขยับตัวสูงขึ้น
แม้ว่ากาบองจะถือเป็นประเทศร่ำรวย แต่ก็ยังประสบปัญหาภาระหนี้สินระหว่างประเทศเป็นจำนวนมาก จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากฝรั่งเศส ธนาคารโลก และ IMF โดยมีพันธะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของ IMF ในการเร่งรัดการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การเปิดเสรีทางการค้า และเร่งรัดพัฒนาอุตสาหกรรมที่ไม่ใช้น้ำมัน เพื่อลดปัญหาการว่างงาน
นโยบายหลักของรัฐบาล คือการพยายามดำเนินการตามเงื่อนไขของ IMF เพื่อให้สามารถได้รับการสนับสนุน และหวังจะได้รับการผ่อนปรนระยะเวลาชำระหนี้จากกลุ่มประเทศ G7 รัฐบาลพยายามลดการพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมน้ำมัน โดยให้ความสำคัญมากขึ้นกับการผลิตแมงกานีส การกลั่นน้ำมัน การแปรรูปผลิตภัณฑ์ไม้ การก่อสร้าง และการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจตามคำแนะนำของ IMF โดยได้ประกาศปฏิรูปภาคป่าไม้ (timber) เป็นต้น
เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2548 รัฐบาลได้ประกาศนโยบายเพื่อให้สามารถดำเนินตามแผนปฏิบัติการสามปีในกรอบของ IMF อาทิ การเปิดประมูล Gabon Telecom การปรับโครงสร้างไปรษณีย์กาบอง และการก่อตั้ง Air Gabon International แทน Air Gabon ซึ่งอยู่ในสภาพย่ำแย่ การสร้างความโปร่งใสให้กับภาคน้ำมันและการขุดเจาะแร่ธาตุ นอกจากนี้ โดยที่มีการประเมินกันว่า การผลิตน้ำมันของกาบองจะหมดลงภายในปี 2555 หากไม่มีการสำรวจบ่อน้ำมันใหม่ ๆ รัฐบาลจึงได้พยายามพัฒนาการสำรวจน้ำมันเพิ่มเติมโดยการดึงดูดการลงทุน ในสาขาพลังงาน (energy sector) โดยมีการปรับระบบกฎหมายและมาตรการต่างๆ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ อาทิ การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
กาบองประสบปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมาก รวมทั้งปัญหาด้านสาธารณสุขของกาบองยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร อัตราโรงพยาบาลและแพทย์ไม่เพียงพอกับจำนวนผู้ป่วย โรคที่ระบาดมากได้แก่มาลาเรีย และเอดส์ ทั้งนี้ กาบองยังมีอัตราการแพร่กระจายของโรคเอดส์สูงถึงร้อยละ 8.1 (พ.ศ. 2546) และมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 3,000 คน (พ.ศ. 2546)
ประเทศไทยกับกาบองได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2519 โดยฝ่ายไทยได้มอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดาการ์ มีเขตอาณาครอบคลุมกาบอง และฝ่ายกาบองได้มอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูตกาบองประจำกรุงโซล มีเขตอาณาครอบคลุมประเทศไทย เอกอัครราชทูตคนปัจจุบัน คือ นาย Jean-Pierre SOLE-EMANE กาบองได้แต่งตั้งให้นายทวีเกียรติ นาโคศิริ เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์กาบองประจำประเทศไทย
ในช่วงปี 2544 - 2548 การค้าระหว่างไทยกับกาบองมีมูลค่าเฉลี่ย 44.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปริมาณการค้าระหว่างประเทศทั้งสองมีปริมาณไม่มากนัก และมีความผันผวนมากในแต่ละปี ที่ผ่านมาไทยเสียดุลการกับกาบอง ในปี 2549 มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับกาบองจำนวน 9,506 ล้านบาท ไทยส่งออกไปกาบองมูลค่า 998.5 ล้านบาท และไทยนำเข้าจากกาบองถึง 8,507.5 ล้านบาท
ไทยให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะการเผยแพร่เทคโนโลยีด้านการผลิตยารักษาโรคมาลาเรียและยาต้านโรคเอดส์แก่ประเทศในแอฟริกา โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดาการ์ ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขไปประเทศบูร์กินาฟาโซ แกมเบีย เซเนกัล กาบอง และมาลี เพื่อเผยแพร่เทคโนโลยีด้านการผลิตยารักษาโรคมาลาเรีย โดยในกาบอง ดำเนินการระหว่างวันที่ 2-8 กันยายน ปี 2549
ความตกลงแม่บทว่าด้วยความร่วมมือ (ลงนามเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2529)
Thai Enterprise Development Division
Head Office :
555, Vibhavadi-Rangsit Rd. Chatuchak,
Bangkok 10900, Thailand.